ข่าว “เขย่าขวด” สุดสัปดาห์นี้การเมืองนั้นไม่มีอะไรแน่นอน มีจุดพลิกผันได้ตลอด เวลา เพียงแค่หันซ้ายไปไม่ทันถึงขวา

ก็กลับเป็นอีกอย่างหนึ่งได้

ทุกอย่างล้วน “อนิจจัง” แม้แต่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีก็ตาม อย่างที่ “แพทองธาร ชินวัตร” ว่าเอาไว้แหละถูกต้องที่สุด

ยิ่งวันนี้เก้าอี้นายกรัฐมนตรีมันร้อนยังไงชอบกลอยู่นา

พูดถึงลูกสาวก็ต้องข้ามไปถึง “ผู้พ่อ” ก็ไม่ต่างกัน แม้จะมีความมั่นใจเต็มเปี่ยมว่าเขาจะหลุดรอดจากภัยทางการเมืองรอบตัว

แต่ก็ยังอดเสียวไม่ได้

ถึงขนาดขออนุญาตศาลไปต่างประเทศ อ้างว่าจะไปพบ “โดนัลด์ ทรัมป์” ผู้นำสหรัฐฯ ที่กาตาร์เพื่อเจรจาเรื่องภาษี

ปรากฏว่าศาลไม่อนุญาตเพราะเห็นว่าเป็นเรื่องส่วนตัว

“มังกรการเมือง” อย่าง “ทักษิณ ชินวัตร” นั้น จมูกคงได้กลิ่นที่จะเป็นภัยแก่ตัวเลยขอไปตั้งหลักต่างประเทศก่อนดีกว่า

เพื่อความปลอดภัย

แต่แวดวงการเมืองมองว่า น่าจะเป็นแผน หนีมากกว่า ไม่ต้องเหนียมอายแล้ว แม้ ตัวเองจะมีบารมีล้นฟ้าแผ่กิ่งก้านสาขาไปทั่ว

หนำซ้ำยังมี “ลูกสาว” เป็นถึงนายก รัฐมนตรี

ทำแบบนี้หมดราคาไปทันที!

ที่ตอกย้ำเรื่องนี้ก็เพราะ “นพ.ประสิทธิ์ วัฒนาภา” อุปนายกแพทยสภาคนที่ 1 ได้แถลงว่า ที่ประชุมแพทยสภามีมติเสียงข้างมาก มาก มาก (ย้ำ) ให้ลงโทษนาย แพทย์ 3 คนที่เกี่ยวข้องกับเรื่องชั้น 14 รพ.ตำรวจ เนื่องจากมีความผิดในการช่วยเหลือ “ผู้ป่วยทิพย์”

1 ท่านลงโทษแค่ตักเตือน

อีก 2 ท่านให้พักใบอนุญาตประกอบอาชีพซึ่งถือเป็นโทษที่ร้ายแรง

“ขณะนี้ข้อมูลที่เราได้รับไม่ได้มีหลักฐานเชิงประจักษ์ที่ชัดเจนว่ามีภาวะวิกฤติเกิดขึ้น”

...

นี่เป็นเหตุผลที่แพทยสภาเห็นตรงกันว่า ได้มีการอ้างเหตุเพื่อช่วยเหลือผู้ป่วยว่ามีอาการหนักถึงขั้นวิกฤติจนไม่สามารถรักษาตัวในเรือนจำได้ ต้องไปรักษาตัว ที่โรงพยาบาลตำรวจ

สรุปก็คือ ไม่ได้ป่วยจริงแต่หาเหตุผลโดยใช้วิชาชีพของนายแพทย์การันตีเพื่อช่วยให้ไม่ต้องนอนในเรือนจำ

สมรู้ร่วมคิดกับแพทย์ในเรือนจำและแพทย์จาก รพ.ตำรวจ

นี่น่าจะเป็นหลักฐานชิ้นสำคัญที่แพทย สภาได้ทำการสืบเสาะจนได้ข้อเท็จจริงออกมา อย่างนี้จึงมีมติลงโทษแพทย์ที่เกี่ยวข้อง

พูดง่ายๆว่ามีความพยายามที่จะตบตา คนทั่วไปด้วยวิธีการเอาตำแหน่งแพทย์เป็นหลักประกันเพื่อให้เห็นว่า “ป่วยจริง”

แต่ยังไม่จบ เพราะต้องเสนอให้รัฐมนตรี สาธารณสุขพิจารณาว่าจะเห็นตามมตินี้หรือไม่ เพราะกฎหมายให้อำนาจไว้

ถ้ารัฐมนตรีวีโต้คือ ไม่เห็นด้วยก็ส่งกลับให้แพทยสภาพิจารณาใหม่

แต่ถ้าเห็นด้วยก็จบ ซึ่งเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว เพราะรัฐมนตรีคือคนของ “เพื่อไทย” ซึ่งจะต้องช่วยเหลือกันอยู่แล้ว

สุดท้ายถ้าแพทยสภามีมติอีกครั้งด้วยเสียง 2 ใน 3 ถือว่าจบขั้นตอน ถือว่า มีผลตามนั้น จึงไม่แปลกที่ “หมอประสิทธิ์” จะย้ำว่าเสียงข้างมาก มาก มากเพื่อให้รู้ว่าแม้รัฐมนตรีจะวีโต้ก็ไม่มีทาง

ประเด็นจะตามมาก็คือ มติของแพทย สภานั้นถือว่าเป็นข้อมูลที่สำคัญอย่างยิ่ง ที่จะตอบคำถามทั้งหมดได้

เพราะเป็นความจริงที่จะไขข้อสงสัยทั้งปวง!

อย่างที่ศาลกำลังหาข้อเท็จจริงในเรื่องนี้ด้วยการขอไต่สวนคดีนี้เอง ซึ่งกำลังอยู่ในขั้นตอนการดำเนินการโดยให้ผู้ที่ เกี่ยวข้องรายงานข้อเท็จจริงให้ศาลทราบ

วันที่ 13 มิ.ย.2568 ได้นัดไต่สวนเป็นครั้งแรก

เมื่อเรื่องมาถึงขั้นนี้ที่เชื่อมั่นว่าจะรอดก็ไม่แน่เสียแล้ว ถ้าไม่รอดก็จะส่งผลถึงรัฐบาลแน่นอนเพราะ “ทักษิณ” นั้น คือ “หัวใจ” ของรัฐบาลชุดนี้

หากมีอันเป็นไปคงเอวังแน่!

“ลิขิต จงสกุล”

คลิกอ่านคอลัมน์ “สับรางวันอาทิตย์” เพิ่มเติม