สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยประชุม ด่วนหารือกลุ่มอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบจากภาษีทรัมป์ คาดรายได้การส่งออกไทยเสียหาย 8-9 แสนล้านบาท วอนรัฐบาล เร่งเจรจาสหรัฐฯ หาทางแก้ไขด่วน ด้านกระทรวงพาณิชย์ แจงสหรัฐฯปรับแก้อัตราจัดเก็บภาษีตอบโต้ไทยเป็น 36% เท่ากับที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯแถลง หลังเกิดความ สับสนจากเอกสารทางการที่ระบุตัวเลข 37% ศูนย์วิจัยกสิกรมองภาษีทรัมป์ 36% กระทบส่งออกไทย 4 แสนล้าน กดจีดีพีต่ำลง 1 % เงินลงทุนโดยตรง ต่างชาติชะลอ

ภายหลังจากประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์ แถลงข่าวขึ้นภาษีตอบโต้ประเทศคู่ค้าเมื่อเวลา 16.00 น. วันที่ 2 เม.ย.ตามเวลาสหรัฐอเมริกา ตรงกับเวลาไทย 03.00 น. วันที่ 3 เม.ย.และสร้างความสับสนให้กับประเทศไทยอย่างมาก เพราะไม่ชัดเจนว่าอัตราภาษีตอบโต้ที่สหรัฐฯจะเก็บจากไทย จะอยู่ที่ 36% หรือ 37% กันแน่ เนื่องจากชาร์ตที่ทำเนียบขาวทำให้ประธานาธิบดีทรัมป์ เพื่อใช้ประกอบการแถลงข่าว ปรากฏเรตอัตราภาษีตอบโต้ไทยอยู่ที่ 36%

เมื่อวันที่ 4 เม.ย. ผู้สื่อข่าวสอบถามไปยังกระทรวงพาณิชย์ถึงความสับสนในตัวเลขภาษี ได้รับการชี้แจงว่า ภายหลังประธานาธิบดีแถลงข่าวเสร็จสิ้น ทำเนียบขาวได้เผยแพร่เอกสารอย่างเป็นทางการ ในภาคผนวก 1 (Annex I) แนบท้ายคำสั่งประธานาธิบดี (Executive Orders : Regulating Imports with a Reciprocal Tariff to Rectify Trade Practices that Contribute to Large and Persistent Annual United States Goods Trade Deficits) ระบุอัตราภาษีตอบโต้ที่จะเก็บจากประเทศคู่ค้าต่างๆ รวมถึงไทย บนโซเชียลมีเดีย X รวมถึงเว็บไซต์ของทำเนียบขาว กลับเป็นอัตราที่ 37% โดยสหรัฐฯได้ปรับแก้ไขตัวเลขดังกล่าวใหม่ ช่วงเวลาประมาณ 21.00 น.ตามเวลาไทย โดยไทยจะถูกจัดเก็บที่ 36% เท่ากับอัตราที่ประธานาธิบดีแถลงข่าว ส่วนประเทศอื่นๆ มีการปรับแก้ไขด้วยเช่นกันและมีการเผยแพร่เอกสารอย่างเป็นทางการอีกครั้งบนเว็บไซต์ทำเนียบขาว ดังนั้น อัตราภาษีตอบโต้ที่สหรัฐฯจะเก็บจากไทยจึงอยู่ที่ 36% และมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 9 เม.ย. เป็นต้นไป

...

นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง เปิดเผยว่า จากนโยบายการประกาศปรับขึ้นภาษีของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นทั่วโลก แต่หากประเมินตลาดหุ้นของไทยแล้ว ถือว่าปรับลดลงน้อยกว่าประเทศอื่นที่ได้เปรียบด้านการส่งออกต่อสหรัฐฯ ดัชนีหุ้นทั่วโลกปรับลดลง แต่กรณีหุ้นไทยถ้าเทียบกับประเทศที่ได้เปรียบ ด้านการส่งออกสหรัฐฯมากกว่า ถือว่าอยู่ในระดับที่เข้าใจได้ แปลว่านักลงทุนเชื่อมั่นต่อแนวทางแก้ไขปัญหาของรัฐบาล ที่คิดได้ว่าผลกระทบจะไม่มาก ส่วนผลกระทบต่อตลาดหุ้นไทยจะเป็นเพียงระยะสั้นหรือไม่ เวลานี้หุ้นทั่วโลกปรับลดลงมากบ้างน้อยบ้าง แต่การที่จะปรับขึ้นมา ขึ้นอยู่กับแนวทางการแก้ไขปัญหาของรัฐบาลที่ต่างกับประเทศอื่นจะทำให้เกิดความเชื่อมั่นได้

รองนายกฯ และ รมว.คลัง กล่าวต่อว่า สำหรับการประเมินผลกระทบต่อการส่งออกและนำเข้าสินค้าไทย รัฐบาลได้ตั้งวอร์รูม พิจารณาเรื่องดังกล่าว ประชุมไปเมื่อวันที่ 3 เม.ย.และมอบหมายให้แต่ละหน่วยงานไปทำการบ้าน วิเคราะห์ จัดเก็บข้อมูลต่างๆ มาเสนอรายละเอียดอีกครั้ง เพื่อนำไปเจรจาการค้ากับสหรัฐฯ นำไปสู่การค้าสมดุล หรือไทยเกินดุลสหรัฐฯลดลง ขณะที่มูลค่าการค้าระหว่างกันอาจเพิ่มขึ้นได้

“การเจรจากับสหรัฐฯ เป็นหน้าที่ของรัฐบาล แต่การจะเจรจาต้องมีข้อมูลครบถ้วน เช่น การเจรจาต่อรองการนำเข้าสินค้าเกษตร ปัจจุบันไทยนำเข้าสินค้าเกษตรที่เป็นวัตถุดิบเพื่อนำมาผลิตอาหารสัตว์และอาหารเพื่อการบริโภค หากไทยปรับการนำเข้าจากสหรัฐฯเพิ่มได้หรือไม่ กรณีที่สหรัฐฯเคยมาเจรจาขอลดภาษีการนำเข้าสินค้าหลายรายการหากนำมาพิจารณาอีกครั้ง จะดำเนินการสินค้าใดได้ ฝ่ายที่เกี่ยวข้องกำลังเร่งพิจารณา เรื่องเหล่านี้รัฐบาลไม่ได้นิ่งนอนใจ เพราะเรื่องนี้ถือเป็นผลกระทบที่ใหญ่มาก เพราะไม่ค่อยเกิดขึ้นมีความซับซ้อนหลายชั้นมากเชื่อว่ามีผลกระทบต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจทุกประเทศ แต่เมื่อเกิดขึ้นแล้วต้องแก้ปัญหา แต่ละประเทศแก้ไขปัญหาแตกต่างกัน” นายพิชัยกล่าว

ด้านนายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย หรือ ส.อ.ท. เปิดเผยหลังประชุมร่วมกับกลุ่มอุตสาหกรรมในสังกัด ส.อ.ท.ที่คาดว่าจะได้รับผลกระทบจากการขึ้นภาษีสินค้านำเข้าของทรัมป์ หารือแนวทางรับมือภาษีตอบโต้ ว่าได้เรียกประชุมด่วนทุกกลุ่มอุตสาหกรรมที่ส่งออกสินค้าไปสหรัฐฯ ระดมสมองหามาตรการต่างๆ หลังไทยถูกเรียกเก็บภาษีสูงถึง 36% คาดมูลค่าเสียหายจากการขึ้นภาษีดังกล่าวสูงถึง 800,000 -900,000 ล้านบาท ที่ประชุมให้ข้อมูลเกี่ยวกับอุปสรรคทางการค้าที่เกี่ยวข้องกับประเทศไทย คือ 1.อุปสรรคทางการค้าที่มิใช่ภาษี ประกอบด้วย 1. อัตราภาษีสูงและข้อจำกัดด้านการนำเข้า พบว่าสินค้าเกษตรต้องเผชิญกับอัตราภาษีนำเข้าสูงในสินค้าเนื้อวัว เนื้อหมู เนื้อสัตว์ปีก ผลิตภัณฑ์นมและอาหารแปรรูปยานยนต์และชิ้นส่วน เผชิญภาษีนำเข้าสูง เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ภาษีนำเข้าไวน์สูงถึง 400% 2.มาตรการด้านสุขอนามัยและสุขอนามัยพืช ส่งผลให้เกิดการจำกัดการนำเข้าเนื้อวัวที่มีอายุมากกว่า 30 เดือน ห้ามนำเข้าเนื้อหมูที่มีสารเร่งเนื้อแดง ห้ามนำเข้าเนื้อสัตว์ปีกจากบางรัฐของสหรัฐฯ

3.ขั้นตอนศุลกากรและการอำนวยความสะดวกทางการค้า ทำให้กระบวนการศุลกากรซับซ้อนประเมินมูลค่าไม่แน่นอน มีความเสี่ยงในการทุจริต ขณะที่ประเด็นอุปสรรคด้านการลงทุนประกอบด้วย 1.ข้อจำกัดภายใต้ พ.ร.บ.ประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว ทำให้ต่างชาติถือหุ้นได้ไม่เกิน 49% ในภาคบริการการเกษตรและโทรคมนาคม 2.ข้อจำกัดด้านการเปิดเสรีการลงทุนที่แม้ว่าสำนักงานบีโอไอจะให้สิทธิประโยชน์ทางภาษี แต่ยังมีเงื่อนไขซับซ้อนในการขออนุญาต 3.การค้าดิจิทัลและข้อกําหนดด้านข้อมูล ทำให้ พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล ข้อมูลบางประเภทต้องถูกจัดเก็บในไทย ทั้งยังมีข้อจำกัดการถ่ายโอนข้อมูลข้ามพรมแดน สร้างความไม่แน่นอนต่อบริษัท Fintech และ Cloud

ประธานสภาอุตสาหกรรมฯ กล่าวอีกว่า เรื่องการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญา ส่งผลกระทบดังนี้ ไทยอยู่ใน “บัญชีเฝ้าระวังพิเศษ” กับปัญหาละเมิดลิขสิทธิ์ออนไลน์ เว็บไซต์ผิดกฎหมาย ส่งผลเสียต่อผู้ผลิตเนื้อหาสหรัฐฯ สินค้าลอกเลียนแบบ เสื้อผ้า อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ การบังคับใช้กฎหมายยังไม่มีประสิทธิภาพ อุปสรรคการค้าเกษตรจะได้รับผลกระทบ คือข้อจำกัดเกี่ยวกับสารกำจัดศัตรูพืชและพืชดัดแปลงพันธุกรรม ระบบใบอนุญาตนำเข้าและโควตากระบวนการยุ่งยาก โดยเฉพาะเนื้อหมูและผลิตภัณฑ์จากนม

นายเกรียงไกรกล่าวต่อว่า สำหรับ 20 อันดับมูลค่าสินค้าที่สหรัฐฯนำเข้าจากไทยปีที่ผ่านมา ได้แก่ อาหารสุนัขหรือแมว ข้าวที่สีบ้างแล้วหรือสีทั้งหมด ส่วนประกอบเครื่องปรับอากาศ วงจรอิเล็กทรอนิกส์อื่นๆ เครื่องเพชรพลอยและรูปพรรณทำด้วยโลหะมีค่า ตู้เย็น ตู้แช่แข็ง เครื่องเพชรพลอยและรูปพรรณทำด้วยเงิน คอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลรวมถึงคอมพิวเตอร์ที่พกพาได้ คอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลไม่รวมคอมพิวเตอร์ที่พกพาได้ อุปกรณ์หน่วยเก็บความจำชนิดโซลิดสเตท กลุ่มอุตสาหกรรมต่างๆ ยังได้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับผลกระทบและที่ได้รับผลกระทบหนัก ได้แก่ ยานยนต์ อาหาร พลาสติก เคมีภัณฑ์ เนื่องจากอัตราภาษีที่สูงขึ้นทำให้สินค้าไทยเสียเปรียบคู่แข่ง ขณะที่อุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วน ถูกเก็บภาษีในอัตรา 25% ตั้งแต่เดือน มี.ค.68 อาจส่งผลต่อการตัดสินใจของบริษัทแม่ในการย้ายฐานการผลิต รถมอเตอร์ไซค์สินค้าหลักที่ส่งออกไปสหรัฐฯ มากกว่ารถยนต์ อาจเผชิญกับการแข่งขันที่รุนแรงขึ้นจากประเทศคู่แข่ง

ประธาน ส.อ.ท. กล่าวอีกว่า อุตสาหกรรมอาหาร ได้รับผลกระทบโดยตรง โดยเฉพาะอาหารแปรรูปและสินค้าประมง เช่น ปลาทูน่าและกุ้งแปรรูป เดิมมีอัตราภาษี 0% ถูกปรับขึ้นเป็น 36% ส่งผลต่อความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการไทย อุตสาหกรรมพลาสติก มูลค่าธุรกิจระหว่าง 6,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หากอัตราภาษีเพิ่มเป็น 36% อาจทำให้ต้นทุนการผลิตสูงขึ้นและสูญเสียส่วนแบ่งตลาด อุตสาหกรรมเคมี มีมูลค่าส่งออกไปสหรัฐฯ 2,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือ 11% ของทั้งหมด อาจลดลงหากมาตรการภาษีของสหรัฐฯ ยังคงดำเนินต่อไป อุตสาหกรรมเครื่องจักรและอุปกรณ์อุตสาหกรรม ได้รับผลกระทบชัดเจน มูลค่าการค้าลดลงจาก 4.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เหลือ 1,700 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ อุตสาหกรรมสิ่งทอ อาจต้องชะลอการผลิตการส่งออก เนื่องจากผู้ซื้อต่างประเทศอาจปฏิเสธ เพราะต้นทุนที่เพิ่มขึ้นจากภาษีนำเข้าสูง แต่อุตสาหกรรมรองเท้าอาจได้ประโยชน์ เนื่องจากประเทศคู่แข่งอย่างเวียดนามและกัมพูชา ถูกเก็บภาษีสูงกว่า อาจแข่งขันในตลาดสหรัฐฯ ได้ดีขึ้นกลุ่มอุตสาหกรรมเหล็กและกลุ่มอุตสาหกรรมอะลูมิเนียม ได้รับผลกระทบต่อเนื่อง เนื่องจากถูกเก็บภาษี 25% ตั้งแต่แรกแล้ว ทำให้ต้นทุนการส่งออกไปสหรัฐฯ สูงขึ้น ผู้ประกอบการอุตสาหกรรมนี้อาจต้องเผชิญกับคำสั่งซื้อที่ลดลงและความสามารถในการแข่งขันระดับสากล

ประธาน ส.อ.ท. กล่าวด้วยว่า ได้ประชุมร่วมกับกระทรวงการคลัง หามาตรการรับมือและหารือกับสหรัฐฯ และสั่งการให้แต่ละกลุ่มอุตสาหกรรม ไปศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมว่า ได้รับความเสียหายมากน้อยเพียงใดและหาจุดยืนร่วมกัน เพื่อ ส.อ.ท.จะนำข้อมูลมาวิเคราะห์ เสนอแนวทางแก่รัฐบาลพิจารณาต่อไป ส่วนภาครัฐและเอกชนได้ร่วมเจรจาเพื่อเตรียมรับมือนโยบายขึ้นภาษีนำเข้าจากสหรัฐฯล่วงหน้าเรียบร้อยแล้ว เพื่อพิจารณาแลกเปลี่ยนสินค้าต่อรองกับสหรัฐฯ เบื้องต้นมีกรอบสินค้าเกษตรหลายตัวที่จะเปิดให้มีการนำเข้าจากสหรัฐฯ มากขึ้น เช่น ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์และสินค้าหนัก อาทิ อาวุธยุทโธปกรณ์ เครื่องบินรบ โดรน เป็นต้น ดังนั้น ภาครัฐต้องเร่งเจรจาต่อรองกับสหรัฐฯอย่างเร่งด่วน ไม่ใช่แค่ลดการเกินดุลการค้าสหรัฐฯ แต่ต้องเร่งแก้ปัญหาการละเมิดลิขสิทธิ์ทรัพย์สินทางปัญญาและต้องออกมาตรการเร่งด่วนเกี่ยวกับการนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศไม่ให้เข้ามาทุ่มตลาดในประเทศเหมือนเช่นปัจจุบัน

อีกด้านหนึ่ง น.ส.ณัฐพร ตรีรัตน์ศิริกุล รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด กล่าวถึง การที่สหรัฐฯตั้งกำแพงภาษีไทยในอัตรา 36% ว่าเป็นอัตราที่สูงเกินคาดการณ์ ดังนั้น ไทยคงต้องเตรียมรับมือกับผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อม จากอัตราภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินว่าผลจากภาษีดังกล่าวจะทำ ให้การส่งออกปี 68 ลดลง ทั้งการส่งออกไปสหรัฐฯและการส่งออกไปประเทศอื่นๆ รวมทั้งการรับมือสินค้าจากต่างประเทศที่จะทะลักเข้ามาขายในตลาดไทย คาดว่าจะทำให้การส่งออกของไทยลดลง ประมาณ 12,500 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือประมาณ 400,000 ล้านบาท

น.ส.ณัฐพรกล่าวด้วยว่า การขยายตัวของเศรษฐกิจไทยโดยรวมจะได้รับผลกระทบราว 1% ทำให้ปรับลดประมาณการขยายตัวของจีดีพีลงมาอยู่ที่ 1.4% ต่ำกว่าประมาณการเดิมที่ 2.4% ในการเจรจาไทยจะต้องยอมเสียเปรียบสหรัฐฯบางเรื่อง เช่น การซื้อสินค้าเพิ่มในบางประเภท รัฐบาลต้องเตรียมการช่วยเหลือเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบด้วย ส่วนของนโยบายการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย โดยคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) น่าจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงในการประชุมวันที่ 30 เม.ย. เพื่อลดผลกระทบและอาจจะลดดอกเบี้ยนโยบายลงอีกครั้งในครึ่งปีหลัง ส่วนนโยบายการคลัง ขณะนี้มีพื้นที่ทางการคลังเหลือน้อยมากจะต้องเลือกนโยบายการเยียวยาอย่างเหมาะสม เพื่อไม่ให้กระทบฐานะการคลังในอนาคต

ขณะที่ น.ส.เกวลิน หวังพิชญสุข รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด กล่าวว่า ผลกระทบของทรัมป์ในครั้งนี้ จะส่งผลต่อเนื่องถึงภาคอุตสาหกรรมของไทยและเอสเอ็มอีที่ถูกกระทบมาต่อเนื่องและยังมีแผ่นดินไหวที่เกิดขึ้น ทำให้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมินดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมหรือ (MPI) เสี่ยงจะหดตัวลงกว่าเดิม หรือติดลบ 3.4% ในปี 68 จากเดิมคาดที่ติดลบ 1% ขณะเดียวกัน แรงส่งจากภาคการท่องเที่ยวก็ลดน้อยลง โดยเฉพาะหลังเหตุการณ์แผ่นดินไหว ทำให้ปรับลดคาดการณ์จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเที่ยวไทยในปี 68 ลงมาที่ 35.9 ล้านคน จากเดิมคาด 37.5 ล้านคน และจะส่งผลต่อเนื่องถึงการใช้จ่ายและการลงทุนภาคเอกชน เงินลงทุนโดยตรงของนักลงทุนต่างชาติที่เตรียมจะลงทุนกับเรา คงต้องรอดูและประเมินสถานการณ์ใหม่ว่า หลังจากทรัมป์ขึ้นภาษีไทยแล้ว ผลการเจรจาของรัฐบาลเป็นอย่างไร เพราะหากมองเปรียบเทียบในเวลานี้ดูเหมือนว่าเราเสียเปรียบหลายประเทศในการดึงดูดเงินลงทุนจากต่างชาติ

อ่าน "คอลัมน์หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ" ทั้งหมดที่นี่